หนังหรือเพลงที่ส่งผลต่อความรู้สึก

หนังหรือเพลงที่ส่งผลต่อความรู้สึก

หนังหรือเพลงที่ส่งผลต่อความรู้สึก

ครั้งหนึ่งเมื่อตอนเป็นเด็ก เคยมีคนถามฉันว่าถ้าเปรียบเทียบสื่อบันเทิงระหว่างเพลงกับหนัง สิ่งไหนที่มีอิทธิพลต่อความรู้สึกของตัวเองมากกว่ากัน วินาทีนั้นฉันแทบไม่ต้องคิดเลยว่าสิ่งไหน ฉันตอบในใจได้เลยในทันทีว่าเป็นหนัง แต่ทว่าไปเพื่อน ๆ ในห้องนั้นเกือบทั้งหมดตอบว่าเพลง เหมือนฉันเป็นเพียง 1% ที่ตอบว่าหนัง ฉันจึงรีบเปลี่ยนและตอบว่าเพลงตามเพื่อน ๆ 

แต่สิ่งนั้นก็ไม่ใช่เรื่องโกหกซะทีเดียวเพราะเพลงก็ส่งผลต่อความรู้สึกของฉันได้ไม่น้อยเลยเช่นกัน ละดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ง่ายด้วย หากฟังเพลงเศร้าแล้วจะเศร้าตาม หากฟังเพลงสนุกแล้วก็จะสนุกตาม มันมีอิทธพลเหนือฉันก็ต่อเมื่อเพลงนั้นเล่นอยู่ แต่หากว่ามันจบลง บทเพลงที่เคยฟังที่เคยรู้สีก มันก็เป็นเพียงแค่เท่านั้นเหมือนเป็นเรื่องที่ไม่เคยได้เกิดขึ้น มันเป็นสิ่งที่เริ่มง่ายแต่ก็จบลงง่ายเช่นกัน ฉันรู้สึกแบบนั้น เพลงบางเพลงแค่เริ่มดนตรีขึ้นมาแต่ก็ส่งผลต่อความรู้สึกมากมายและเป็นเหตุจุดฉนวนความคิดต่าง ๆ มันเป็นเรื่องที่ง่ายมากหากจะปล่อยให้บทเพลงนั้นปลอบประโลมเรา หรือเป็นเครื่องช่วยให้เราปลดปล่อยจากอะไรบางอย่างถึงแม้ว่าบางทีจะมาในรูปแบบที่ไม่ได้อ่อนโยนก็ตาม แต่ฉันก็สามารถควบคุมมันได้ง่ายมากเพียงแค่กดปุ่มเปิด-ปิดเพลงเท่านั้นเอง

หากเมื่อเทียบกับหนัง ทุก ๆ ครั้งเวลาที่ฉันดูหนังฉันจะต้องนึกถึงความรู้สึกเมื่อหนังจบเผื่อเอาไว้ก่อนแล้ว เพื่อไม่ให้ตัวเองตกไปหลุมของความรู้สึกที่มากกว่านี้  เพราะทุกครั้งที่หนังจบแต่ความรู้สึกไม่เคยได้จบไปด้วยเลย ต้องใช้เวลาจูนสักพักใหญ่เลยทีเดียวกว่าการที่ตัวละครทั้งหมดนั้นจะออกไปจากหัว เมื่อเทียบกับเพลงแล้ว หนังถือว่าเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อความรู้สึกฉันมาก ๆ ยิ่งหนังบางเรื่องก็เล่นเอาซะร้องไห้แทบทั้งเรื่อง ต่อให้หนังจบแต่ฉันก็ไม่สามารถที่จะหยุดร้องไห้ได้ และต่อให้มันจบไปได้สักพักใหญ่แต่ฉันก็มักจะจำเรื่องราวของหนังได้อยู่ในหลาย ๆ เรื่อง หลาย ๆ ฉาก หลาย ๆ ตอน ฉันสามารถนำหนังมาเป็นแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตได้ และสามารถเปรียบเทียบชีวิตของตัวเองในแต่ละช่วงเป็นหนังแต่ละเรื่องได้เลยด้วยเช่นกัน ว่าตอนนี้พาร์ทชีวิตของเราเป็นบทหนังเรื่องไหน เรียกได้ว่าชีวิตของคนเราก็มีหนังประจำตัวที่แอบเอาไว้อยู่นั่นแหละ และเราเป็นตัวละครหลัก ที่ไม่มีผู้กำกับ และไม่มีผู้ชม

การรับมือกับความรู้สึกที่เอ่อล้น

แต่ทว่าไปการที่คนเราอินกับอะไรสักอย่างเกินไป ลงลึกไปในห้วงของความรู้สึก มักจะไม่ใช่เรื่องที่ดีอยู่แล้ว เราจึงต้องมีขอบเขตในการอินหนังอินเพลง ให้ทุกอย่างเป็นความบาลานซ์ ไม่มีอิทธิพลต่อความรู้สึกมากเกินไป แต่มันก็เหมือนจะเป็นเรื่องยากสำหรับใครบางคนในการห้ามไม่ให้รู้สึก เพราะฉะนั้นในวันนี้เรามาดูวิธีรับมือหากว่าเราเป็นคนที่อินกับหนังมากจนเกินไปกัน  แบบที่ว่าหนังจบอย่างไรให้ความรู้สึกของเรานั้นยังคงดีอยู่

1 พยายามไม่ดูหนังหรือซีรีย์หรืออะไรต่าง ๆ ให้ภายในรวดเดียวจบ เพราะการดูรวดเดียวจบนั้นติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ๆ ทำให้ราอินไปกับตัวละครและบทได้มาก เปรียบเหมือนกับเราเข้าไปอยู่ในนั้นแบบไม่รู้ตัวในระยะเวลาที่หลายชั่วโมงหรือหลายวัน จนไม่สามารถที่จะหยุดความรู้สึกได้ถึงแม้ว่าหนังจะจบแล้วก็ตาม เพราะเราได้ใช้เวลาอยู่กับสิ่งนี้มาเนิ่นนาน

2 การหาหนังหรือซีรีย์เรื่องใหม่ดู เป็นสิ่งที่สามารถช่วยได้อย่างมาก เพราะจะทำให้เรามีจุดโฟกัสจุดใหม่ ไม่ไปจมปลักกับความรู้สึกเดิม ๆ ที่หนังเรื่องก่อนหน้านี้ได้ทิ้งเอาไว้

3 พยายามอยู่กับความเป็นจริง สถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า บางทีเราก็ต้องมีสติบ้างต้องรู้ว่าในตอนนี้เรากำลังทำอะไรอยู่ แยกเรื่องจริงกับเรื่องราวในหนังให้ออก

4 ออกไปเจอเพื่อนหรือไปเที่ยว สิ่งนี้ก็ช่วยได้มากเช่นกัน การหากิจกรรมใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ ทำให้เราได้พบเรื่องราวใหม่ ๆ บ้าง ได้เจอเพื่อนได้ออกไปเที่ยว พบปะพูดคุย หรือจะคุยเรื่องหนังแลกเปลี่ยนความคิด ต่อสิ่งที่เราเพิ่งดูมาให้เพื่อนฟังก็ได้ผลดีเช่นกัน

5 หากทำทุกอย่างแล้วบังไม่หายจริง ๆ ให้ไปดูหนังหรือซีรีย์เรื่องเดิมอีกรอบนึง

สร้างสมดุลระหว่างความสุขและความเศร้า

การดูหนังฟังเพลงแล้วอิน ส่งอิทธิพลต่อความรู้สึกนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว เพราะแน่นอนว่าเราจะรู้สึกว่าหนังมันสนุกหรือเพลงมันเพราะก็ต่อเมื่อเราอินไปกับมัน มากกว่าคนที่ไม่อิน ยิ่งเราอินเรายิ่งได้เห็นความสวยงามของมุมต่าง ๆ ของสิ่งนั้นมากขึ้น แต่ถ้าอินมากเกินไปก็จะก่อให้เกิดผลเสียแก่ตัวเราเองได้เช่นกัน เราจึงต้องรู้วิธีคอยรับมือ และรู้ลิมิตของตัวเอง ว่าเราสามารถรับมือกับความรู้สึกต่าง ๆ ได้มากน้อยแค่ไหน หากคิดว่าเรากำลังเศร้าจนเกินไป ทริคข้างบนก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยดี ๆ ที่จะให้เรารับมือกับความเศร้าในครั้งนี้ไปได้

Related Posts